Only By Braving The Unknown

 ***This entry may contain story spoiler, especially for those who haven’t done the quest “The Lominsan Envoy” yet.***
***หัวข้อนี้อาจมีการสปอยล์เนื้อเรื่อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ทำเควสต์ “The Lominsan Envoy”***

FFXIV_Quotes_01s

I try to read every sentence I see in the game during cutscenes and NPC dialog. I must admit, though, that sometimes I don’t have the time or leisure, or the diligence LOL!, to sit and read everything. When that is the case I would usually copy all the text and paste it into a document or spam my printscreen button so I can save it to read later. During a quest in Limsa, in a conversation with the Admiral, however, I read everything through, and this statement caught my eyes and captured my heart. It is my favorite quote so far in FFXIV: ARR during the Beta test Phase 4.

เราเป็นคนที่พยายามอ่านทุกประโยคในคัทซีนและในบทสนทนากับตัวละคร NPC ในเกม แต่ก็ต้องยอมรับนะว่าบางครั้งไม่มีเวลาจริง ๆ (หรือไม่ก็ขี้เกียจ 555) แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นเรามักจะก๊อปปี้ตัวหนังสือทั้งหมดเอาไปแปะในไฟล์ หรือกดปุ่มเซฟหน้าจอ เพื่อเก็บไฟล์ไว้อ่านทีหลัง หนนี้เราทำเควสต์เมืองลิมซ่า แล้วอ่านสิ่งที่ผู้พันพูดกับเรา และประโยคนี้มันเตะตาและจับใจมาก ๆ เลย ถ้าให้นับดูทั้งหมดตั้งแต่เล่นภาคใหม่ ทดสอบระยะที่ 4 มานี้ นี่เป็นโควตที่ถูกใจเราที่สุด

“Only by braving the unknown will you achieve the greatness of which you are surely capable.”
– Admiral Merlwyb Bloefhiswyn –

 

แปลไทย:
“มีเพียงต้องหาญกล้าเผชิญกับสิ่งที่ไม่รู้เท่านั้น เจ้าจึ่งจะสามารถปฏิบัติการใหญ่ให้ลุล่วงได้สมดังที่เจ้าพึงสามารถ”

– ผู้พันเมิร์ลวิบ โบลฟ์ฮิสวิน (ชื่ออ่านไม่ออก!!!) –

*greatness จริง ๆ ไม่ได้หมายถึงการใหญ่ หรือทำการใหญ่ แต่ยังหาคำที่ลงตัวไม่เจอ TAT มันน่าจะหมายถึง ความเป็นเลิศ หรือไม่ก็การเป็นผู้ยิ่งใหญ่ เดี๋ยวขอไปนั่งคิดดูก่อน*

A New Beginning

***This entry may contain story spoiler, especially for those who haven’t watched “End of An Era” yet.***
***หัวข้อนี้อาจมีการสปอยล์เนื้อเรื่อง โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่ยังไม่ได้ดู End of An Era***

We all know that the End of An Era was but a path toward A New Beginning, yet I can’t help but weep inside, and sometimes outside, whenever I am reminded of what happened during the battle of Carteneau. If anyone were eavesdropping at my door while I am either watching the ending, the opening, or playing through a quest with a flashback about the battle, they would hear whimpers, a lot of whimpers. In an attempt to stifle my sob, it usually results in a gargling sound not unlike a drowning person. Then, follow some wheezes, some trembled exhales, and eventually loud whimpers.

เราต่างก็รู้ดีว่าการล่มสลายของยุคสมัย (End of An Era) เป็นเพียงแค่หนทางสำหรับก้าวไปสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่ (A New Beginning) เท่านั้น แต่กระนั้นทุกครั้งที่ฉันได้เห็นหรือฟังสิ่งใดที่ย้ำเตือนให้คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นยังแนวหน้าของศึก ณ Carteneau ก็อดไม่ได้ที่จะสะอื้นอยู่ลึก ๆ (หรือบางทีก็สะอื้นออกมาเลย) ถ้ามีใครมาแอบฟังอยู่ที่ประตู ในเวลาที่ฉันเล่นเกมนี้ และได้ดูภาพ ฟังเสียง หรืออ่านเกี่ยวกับการสัประยุทธ์ครานั้น ไม่ว่าจะในรูปแบบวีดีโอหรือจากการดูเนื้อเรื่องเควสต์ในเกมซึ่งมีการย้อนระลึกความ ก็คงจะได้ยินเสียงครางโหยของฉันดังขึ้นถี่ ๆ นับครั้งไม่ถ้วนเป็นแน่ ความพยายามของฉันที่จะกลั้นใจไม่ให้ร้องไห้ มักจะนำไปสู่เสียงอึกอักในลำคอคล้ายคนกำลังจะจมน้ำก็มิปาน หลังจากนั้นจึงกลายเป็นเสียงหวีดเบาในลำคอ เสียงระบายลมหายใจออกอย่างสั่นเครือ และตามด้วยเสียงครางโหยในที่สุด

End Of An EraCopyright (C) 2010 – 2013 SQUARE ENIX CO., LTD. All Rights Reserved.

That was quite dramatic….not. You would well understand me if you played FFXIV before and have been through and been absorbed into those storylines like I did. After the End of An Era, I have played the main scenario quests during Alpha and Beta test phases countless times. And since Phase 3, they let us watch the new flashback cutscenes during certain quests. The grief felt by the generals of the Grand Companies was also felt by me. The very same despair that engulfed the adventurers at the battlefront, plunging the whole realm into the deepest and darkest hopelessness, also engulfed me. And my budding hope that was revived by the sight of Louisoix conjuring his powerful barrier and seal spell had withered and died yet again at the appearance of THAT smile on his face.

Hold on a sec, let me whimper and catch my breath. Huff, oohh, ahhh, phew!

แหม ฉันนี่ช่างดราม่าน้ำเน่าจริง ๆ …. ซะเมื่อไหร่ล่ะ! หากใครได้เล่นเกมไฟนอล 14 มาก่อน และได้ผ่านและซาบซึ้งกับเนื้อเรื่องมาเหมือน ๆ กับฉัน ก็จะเข้าใจเองว่าทำไม หลังจากการล่มสลายครั้งนั้น ฉันได้ร่วมทดสอบตัวเกม ทั้งอัลฟ่า เบต้า และได้ทำภารกิจเนื้อเรื่องหลักซ้ำ ๆ นับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะที่ 3 ซึ่งมีการเปิดให้เราดูฉากเคลื่อนไหวในเกมได้เต็ม ๆ โดยไม่ปิดบัง มันมีบางเควสต์ที่เล่าย้อนไปถึงการรบพุ่งครั้งนั้นด้วย ความโทมนัสที่เหล่าผู้บังคับบัญชาของสามทัพใหญ่รู้สึก ฉันก็รู้สึกด้วย ความท้อแท้เดียวกันกับที่กลืนกินเหล่านักผจญภัย ณ แนวหน้าของการรบ และผลักดินแดนแห่งนี้ให้จมดิ่งลงสู่ความสิ้นหวังอันดำมืดสุดหยั่งนั้น ก็ได้กลืนกินฉันไปด้วย อนึ่ง ความหวังใหม่ที่แตกหน่อขึ้นและฟื้นคืนชีพขึ้นมาเมื่อได้เห็นท่านลุง Louisoix ร่ายคาถาเกราะกำบังและคาถาปิดผนึกอันกล้าแข็ง ก็กลับแห้งเหี่ยวและตายลงไปอีกครั้งเมื่อบนใบหน้าของเขาปรากฏรอยยิ้มนั้นขึ้น

อา ประเดี๋ยวก่อนนะ ขอพักสะอื้นและสูดลมหายใจให้เป็นปรกติก่อน ฮึก ฮ้า ฮู้ เฮ้อ!

Anyway, we are now onto A New Beginning. I am extremely impressed by the creativity of the development team. It was such a touching story very well suited for the transition. Bravo to them. I am eagerly looking forward to playing FFXIV: ARR at the official launch.

อย่างไรก็ตาม บัดนี้เราต่างก็ได้ย่างเข้าสู่การเริ่มต้นครั้งใหม่แล้ว ฉันรู้สึกประทับใจมาก กับความคิดสร้างสรรค์ของฝ่ายพัฒนาเกม เนื้อเรื่องที่ได้เห็นมันช่างเป็นเรื่องราวที่ชวนซาบซึ้งและเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับการเปลี่ยนแปลลงของตัวเกม ไชโยให้กับทีมงาน! ฉันกำลังเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อถึงวันที่จะได้เล่นเกมไฟนอล 14 ฉบับปรับปรุงที่กำลังจะเปิดให้เล่นอย่างเป็นทางการ 

A Realm RebornCopyright (C) 2010 – 2013 SQUARE ENIX CO., LTD. All Rights Reserved.

See you, adventurers of Eorzea! Let’s all rebuild the realm and have a good adventure!

แล้วพบกันนะนักผจญภัยแห่ง Eorzea ทุกท่าน! เรามาร่วมกันฟื้นฟูดินแดนและผจญภัยกันให้สนุกเถอะ!

New Blog

In order to commemorate the grand opening of Final Fantasy XIV: A Realm Reborn (or FFXIVARR or FFXIV 2.0,) I decided to start a new blog.

เพื่อเฉลิมฉลองการเปิดตัวครั้งยิ่งใหญ่ของไฟนอลแฟนตาซี 14 ภาคใหม่ฉบับปรับปรุง อิฉันก็เลยทำบล็อกใหม่เสียเลย อิ ๆ

By Fire Reborn

No, not really! Simply because my old blog has been long-running and was used since FFXI, making the entries and files all very messy, I wanted to tidy up my blog to make it easier to navigate. So, I decided to shift to write about FFXIV: ARR in a new blog. I will leave all the old entries in the old blog like that, not deleting them, just won’t add new entries anymore.

ใช่ซะที่ไหน! จริง ๆ คือบล็อกเก่ามันใช้มานานมาก ๆ แล้ว และเขียนมาตั้งแต่สมัยไฟนอล 11 ทั้งข้อความทั้งรูปภาพ ก็เลยค่อนข้างจะผสมปนเปกันจนยุ่งเหยิง ไร้ระเบียบวินัยในชีวิต ตอนนี้เกิดอยากทำให้มันเรียบร้อยเป็นระบบหน่อย จะได้หาอะไรอ่านได้ง่าย ๆ ก็เลยทำบล็อกใหม่ขึ้นมาค่ะ ส่วนบล็อกเก่าก็ยังคงเก็บไว้แบบนั้นต่อไป ไม่ลบ แต่ก็จะไม่เขียนต่อ

I’m now still tweaking (read: fumbling with) my blog’s appearance, theme and stuff. It will take a while, as I lack in skills. So, please be patient.

อนึ่ง ตอนนี้กำลังค่อย ๆ ปรับรูปแบบและหน้าตาของบล็อกอยู่ ก็คงจะช้านิดนึงเพราะทักษะไม่ค่อยมี ยังไงก็อดทนรอไปก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ

Real life rant about work

Since one of my Thai blogs will be terminated due to discontinuation of the service, I’d like to copy and paste old entries to my personal blog here, to preserve the record.

It is a rant about work, where I was presented with a task to proofread and edit a Thai to English translation by someone else. I was enraged by how unprofessional the work was. It was full of errors and absurd mistakes.


Original content copied from
http://valentino.exteen.com/20060605/siam-translation
http://valentino.exteen.com/20060606/siamtranslation


การทำงานอยู่กับบ้าน เป็นงานอิสระ (freelance) รับงานเป็นชิ้นๆ และรับเงินตามชิ้นงาน มันก็สะดวกดี นอกจากจะไม่ต้องฝ่าการจราจร ฝ่าฝน ฝ่ามลพิษไปทำงานข้างนอกแล้ว ยังสามารถจิบชา กินขนมเล่นเย็นๆใจในระหว่างทำงานได้ด้วย ที่สำคัญคือได้เป็นนายของตัวเอง บริหารเวลาของตัวเอง ใน 1 วันจะทำงานกี่ชั่วโมงก็ได้ ทำเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก ไม่มีใครมาชี้นิ้วสั่งหรือเจ้ากี้เจ้าการให้ตื่นเช้ามาทำงานกี่โมง เย็นๆต้องอยู่ออฟฟิศถึงกี่โมง

แต่ข้อเสียมันจะปรากฏในช่วงที่มีงานเร่ง งานด่วน และงานจากหลายๆเจ้ามารุมกันในคราวเดียว ทำให้ต้องเปิดโรงงานนรก นั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ตื่นยันนอน สมองที่ประมวลผลอยู่ตลอดเวลาเพราะ deadline บังคับ จึงไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเพียงพอ แม้ในยามนอน บางครั้งยังฝันถึงงาน ทำให้ตื่นมาแล้วไม่ได้หลับอย่างเต็มที่ยังไงก็ไม่ทราบ

ช่วงนี้รู้สึกเลยว่า ทำงานจนเกือบๆจะถึงลิมิตแล้ว ตอนตื่นมาจะรู้สึกเหนื่อยและเพลีย ส่วนตอนดึกบางครั้งต้องเร่งงานจนไม่อาจหักใจไปเข้านอนได้ จนกว่าสายตาจะไม่โฟกัสบนตัวหนังสือ รู้สึกได้เลยว่าประสาทกำลังตึงเครียด เหมือนเส้นอะไรสักอย่างในสมองกำลังสั่นระริก ในทางอารมณ์รู้สึกเหมือนเป็นคนประสาทอ่อน สะดุ้งง่าย ขี้ตกใจ ขี้หงุดหงิด และเส้นกระตุก(โมโห)อยู่บ่อยครั้ง

วันนี้ตัดสินใจจะทำงานแบบใจเย็นๆ และผ่อนคลาย…. ไม่เสร็จก็ช่างหัวมัน(วะ)
ยังเหลือเวลาอีก 1 วัน กับงานอีกประมาณ7 หน้า….(สำหรับเรา การแปลไทยเป็นอังกฤษ มักจะยาก และใช้เวลานานกว่าแปลอังกฤษเป็นไทย)

คิดแล้วก็เจ็บแค้น ว่าทำไมเราต้องรับกรรมนี้ด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะคนที่แปลไว้รายก่อนมันแปลห่วยมาก ห่วยเสียจนอ่านแล้วอยากเอาระเบิดอึแมวไปขว้างหน้าตึกมัน เราเองทั้งๆที่รับปากจะตรวจทานความถูกต้องเฉยๆ เลยต้องเหมือนนั่งแปลใหม่ทั้ง 18 หน้า รู้สึกว่าการตรวจงานคนอื่นและแก้ไขให้ มันทำให้ประสาทของเราตึงเครียดกว่าทำเองตั้งแต่ต้นเสียอีก… หรืออาจจะเพราะเราเองที่ขี้โมโห อ่านเจอที่ผิดไปก็โมโหไป ก่นด่าสาปแช่งบริษัท Siam Translation ไป ในฐานที่เป็นถึงบริษัทมืออาชีพ ตั้งอยู่ในย่านสถานทูต แต่ยังบังอาจทำงานขี้หมูขี้หมาแบบนี้ออกมาได้ คิดดูสิ ปี พ.ศ. 2505 มันแปลเป็น ค.ศ. 1961 แล้วให้ปี 2506 เป็น 1962…. ทำมาได้ไง ชุ่ย!!!!!!!!!! (จริงๆที่อื่นมีผิดเยอะเหมือนกัน ไว้มาเผาวันหลังแต่เลขปีเนี่ยต้องเผาก่อน เพราะเป็นเรื่องที่ผิดแล้วอภัยให้ไม่ได้ เพราะมันคือ fact ที่ห้ามคลาดเคลื่อนเด็ดขาด)

เดี๋ยวไปหาอะไรกินให้อิ่มท้องก่อน (เวลาหิวจะอารมณ์เสียง่าย ก๊าก) แล้วค่อยกลับมาฟาดฟันกับงานชิ้นนี้ต่อ… ใครว่างๆก็ช่วยเราจุดธูป เผาพริกกับเกลือ (มะม่วงด้วย?) แช่งบริษัทนี้ด้วยนะ ฮื่อ แง่ง……


ถอดรหัสมั่ว… สยาม ทรานสเลชั่น (Siam Translation เลขที่ 57/4 ถนนวิทยุ เขตเพลินจิต)


 

ต้นฉบับ:
“ผมไม่เคยคิดจะเขียนอะไรเกี่ยวกับตัวเองเลย ผมก็เป็นคนธรรมดาๆคนหนึ่ง จนเมื่อวานเย็นลูกชายได้เอ่ยถามความเป็นมาของผม…”
Siam Translation:
“I have never regarded myself as significant because I am just an ordinary person so much so that yesterday evening my son made some inquiry about me….”


ต้นฉบับ:
“…กว่าที่จะจำความได้คือบ้านที่อยู่นั้นเป็นบ้านเช่า ซึ่งคุณพ่อเช่าจากญาติผู้ใหญ่ที่คุณพ่อติดตามท่านมาจากเมืองจีน...”
Siam Translation:
“…As memory recalls, we lived in a rented house belonging to a relative and my father’s relationship with this man went back to the days in China….”


ต้นฉบับ:
“เบตงเป็นเมืองที่อากาศดี เพราะมีสวนยางและป่าล้อมรอบการเดินทางจากตัวอำเภอเบตงไปยังตัวจังหวัดซึ่งมีระยะทางประมาณ 126 กม. ต้องใช้เวลาเดินประมาณ 3 ชม. เพราะมีทางคดเคี้ยวเป็นร้อยโค้งประกอบกับริมทางก็ค่อนข้างทุระกันดาร
Siam Translation:
“Weather in Betong was good. Rubber trees and palm trees lined the streets and you could enjoy this scenery along the 126 km distance from Betong to provincial city. It takes 3 hours to travel because the road is crooked with curves everywhere .
The country side is remote and sparsely populated .”


ต้นฉบับ:
“….ใน
ตอนเช้าสักตีสี่ตีห้าก็เริ่มมีร้านกาแฟร้านหยำฉ่าแบบฮ่องกงเปิดบริการ ส่วนราคาก็ถูกมากสำหรับขนมจีบ ซาลาเปา ฮะเก๋า และที่อร่อยสุดๆไม่เหมือนใคร คือข้าวเหนียวไก่เบตง ซึ่งหากินไม่ได้ที่ไหนในโลก แม้แต่ในฮ่องกงก็เถิด
Siam Translation:
“….In
the mornings there were coffee shops catering to the people, just like in Hong Kong. Prices were very cheap. There were cookies , Chinese style and other styles, all delicious. Particularly interesting is glutinous rice with grilled chicken .”


ต้นฉบับ:
“…ทุกคนต้องลงมือ
วาดแผนที่ลงสี รู้ว่าแม่น้ำฮวงโห แยงซีเกียง อยู่ที่ไหน ต้องท่องได้ว่า ริมแม่น้ำแยงซีเกียงฝั่งเหนือแม่น้ำมีกี่มณฑล ฝั่งใต้แม่น้ำมีกี่มณฑล….
Siam Translation:
“…All the students were required to
take drawings lessons and they make color drawings. We learned about the location of rivers in China and provinces down stream


ต้นฉบับ:
“สิ่งที่เพื่อนร่วมห้องชอบมากที่สุด ก็คือไปดูหนังรอบสองที่โรงหนังบุศยพรรณ ราคาตั๋ว 7 บาทแต่ดูได้ 2 เรื่อง
เป็นหนังค่อนข้างใหม่ที่สุดหลุดจากโรงชั้นหนึ่ง
Siam Translation:
“We all loved to enjoy movies at Busayapan Cinema. Ticket price was 7-baht but we get to see 2 movies at a time.
The movies are quite new, just released. From the first class theaters.


ต้นฉบับ:
“คณะบัญชีรุ่นผมมีเพื่อนร่วมชั้นประมาณ 400 คน แต่มีผู้หญิง 75% ผู้ชาย 25%
ฉะนั้นผู้ชายก็ต้องลงแข่งกีฬาน้องใหม่เกือบทุกประเภท ไม่ว่าฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล รักบี้ ว่ายน้ำ เพราะกลุ่มผู้ชายมีจำนวนจำกัดจริงๆ”
Siam Translation:
“In the Accounting Faculty I had many friends among the 400 strong student body. Among these, females represented 75% and males only 25%.
Sports is an essential thing with female students participated in every kind of sport, whether football , volley ball , rugby , swimming , etc.”


ต้นฉบับ:
“…แต่บางครั้งที่
มหาวิทยาลัยมีกิจกรรมดึก
ก็จะไป “สิงห์หอ” คืออาศัยเพื่อนๆหอพักจุฬาฯอยู่ พอชั้นปี 3 “น้าวิศิษฏ์คงคา” ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีที่เบตงในสมัยนั้น ได้ซื้อบ้านที่หมู่บ้านชินเขต อยู่ตรงข้ามคุกบางขวาง…”
Siam Translation:
“Sometimes, I
went to see my friends at the University and spent the night at their hostel. I had a friend called “VisetKonka” a lawyer from Betong who purchased a house in a village opposite Bangkwang Prison.”


ต้นฉบับ:
“…ตอนนั้นรัฐบาลได้ขึ้นภาษีนำเข้าหนังต่างประเทศ
ทำให้ผู้จัดจำหน่ายภาพยนตร์งดนำหนังเข้ามาฉายตามโรง
เรื่อง Superman, Star War, Saturday Night Lover ล้วนไม่มีโอกาสขึ้นจอใหญ่ ผมเลยต้องอาศัยดูจาก VDO เทป และบ้านผมจึงเป็นที่ชุมนุมของเพื่อนที่อยากมาดูหนังเทศ ซึ่งผมต้องไปหาเช่าที่ศูนย์การค้าอินทราเป็นประจำ”
Siam Translation:
“…In those days the government began to impose tax on foreign films.
In the wake of this regulation, some western movies such as, Spider Man, Star Wars, Saturday Night Lover were some of the hits among the interesting movies.As I did not have much time to go to theaters, I just watched video at home and my house became the venue for some of my friends to watch foreign movies. I rented movies at Indra Trade Center.”

ต้นฉบับ:
“…โรงเรียนภาษาที่เรียนนี้ก็ล้วนแต่เ
ป็นกระเหรี่ยง
มีเพื่อนนักเรียนจากอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง จีน ไทย เป็นหลักเรียนไปก็ไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มหรอก…”
Siam Translation:
“Students at the language school were mostly
foreigners such as Karens and others from South America, Middle East, China and Thailand. Learning at this school was pretty hopeless.


ต้นฉบับ:
“พี่โตเขียนเท่านี้เอง
นันท์
ขอเล่าต่อ พี่โตหลังจากเรียนภาษาเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่โตทำงานหนักมาก….”
Siam Translation:
“Now allow
me (Nan) to continue with my story. After finishing the language school I entered the university….”


ต้นฉบับ:
“…ความเชี่ยวชาญในภาษา
จีนกลาง
กวางตุ้ง และแต้จิ๋วของโตทำให้ผมรู้สึกทึ่งมาก ตอนที่อยู่กวางเจาเขาต้องเป็นล่ามเพื่อให้คนจีนจากปักกิ่งคุยกับคนที่กวางเจารู้เรื่องกันได้…”
Siam Translation:
“…His knowledge of
Chinese, particularly Cantonese and Taechew was remarkable. When we arrived a Kwancho province, Khun Thirachai worked as an interpreter and talked business with some Chinese entrepreneurs from Peking….”


ต้นฉบับ:โตมีเพื่อนมากมายทั้งในเมืองไทย เมืองจีน ฮ่องกง อเมริกา สิงค์โปร์ ทำให้การไปไหนมาไหนสะดวก และติดต่อง่ายขึ้นเพื่อนโตที่ซัวเถาเป็นเจ้าพ่อส่งลูกน้องมาดูแลเราสองคนอย่างดี สามารถช่วยเราเบียดคนขึ้นเรือจากซัวเถาไปฮ่องกงได้สำเร็จด้วยการตะโกนและทุบประตูเอะอะกันลั่นท่าเรือ….
Siam Translation:
He had a host of friends in China, Thailand, Hong Kong and Singapore and this made communications very convenient and easy to work.We traveled from Sua Thow to Hong Kong with speed and convenience…..


มีอีกแยะแต่ขี้เกียจแฉแล้ว…เอาแค่คร่าวๆก็เช่น ที่บอกไปหน้าก่อน ว่าแปล พ.ศ. 2505 เป็น ค.ศ. 1961 และ 2506 เป็น 1962

แล้วก็มีพวกชื่อคนต่างๆ ซึ่งไม่รู้ว่าสะกดสระผิดจริงๆหรือแค่พิมพ์เพี้ยนไป เช่น

คุณเจอรัล => Khjun Jaras
ครูประเสริฐ => Teacher
Preset
น้าวิศิษฏ์ คงคา => (a friend) Viset Konka
ประพงศ์ => Prepong
วรสันต์ => Vasan
พี่โต (
โตคือชื่อเล่นของคนคนหนึ่ง) => Big Brother

หรืออย่างไปแปลงเพศให้คนที่ถูกพูดถึงเฉยเลย…

อาโกว => uncle
(อาโกวแปลว่า น้องหรือพี่ (ผู้หญิง) ของพ่อ ก็คือป้า หรือน้า ของฝ่ายพ่อนั่นเอง)

เฮ่อ โล่ง….เหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะส่งงานไปแล้ว กำลังรอ feedback จากคุณน้า (งานนี้ไม่ได้มีใครจ้าง แต่ทำเพราะเป็นสิ่งที่ควรทำ คือช่วยเหลือคุณน้า(ภรรยาของเพื่อนสนิทพ่อ) ตรวจเช็คเอกสารที่แปลมาจากหนังสือที่ระลึกงานศพคุณอา(เพื่อนสนิทของพ่อคนนั้นแหละ) ให้เสร็จสิ้นไป คือถ้าปล่อยให้คำแปลชุ่ยๆถูกเอาไปพิมพ์แจก ทั้งๆที่เป็นของเกี่ยวกับคุณอาคนหนึ่งซึ่งเราเคารพรักมาก และเป็นเพื่อนรักของพ่อเราซะด้วย มันก็รู้สึกไม่ดีใช่มั้ยคะ (และที่สำคัญ เดี๋ยวพิมพ์ไปแล้ว อาเจ็กแกจะเข้าฝันมาไล่เตะเอา ว่า “ไอ้เด็กพวกนี้ ไม่ช่วยจัดการให้อาเล้ย!”
ด้วยรักและความอัดอั้นตันใจ,
จาก freelance (หอกฟรี?) คนหนึ่ง.


– End of old content –